โอกาสธุรกิจไทยในซาอุฯ อานิสงส์ฟื้นความสัมพันธ์

Krungthai COMPASS ชี้โอกาสธุรกิจไทยในซาอุฯ อานิสงส์ฟื้นความสัมพันธ์ และแผน Saudi Vision 2030 หนุนส่งออกและท่องเที่ยวโตก้าวกระโดด

Krungthai COMPASS มองซาอุดิอาระเบียเป็นตลาดที่มีศักยภาพเติบโตสูง อานิสงส์จากการฟื้นฟูความสัมพันธ์ทางการทูตและแรงหนุนจากนโยบายปฏิรูป “Saudi Vision 2030”  คาดการส่งออกไทยไปซาอุฯสูงถึง 1.2 แสนล้านบาท เติบโต 2 เท่า จำนวนนักท่องเที่ยวซาอุฯแตะ 2 แสนคนในอีก 7 ปีข้างหน้า  แนะผู้ประกอบการไทยใช้ประโยชน์จากโอกาสทางการค้า ภาคบริการ และการลงทุน ขยายตลาดหรือหาช่องทางลงทุน สร้างการเติบโตในอนาคต

ดร. ฉมาดนัย มากนวล ผู้อำนวยการฝ่าย Business Risk and Macro Research ธนาคารกรุงไทย เปิดเผยว่า สัมพันธภาพที่แน่นแฟ้นยิ่งขึ้นระหว่างไทยและซาอุดิอาระเบีย เป็นปัจจัยเสริมสร้างโอกาสทางเศรษฐกิจให้ทั้งสองประเทศ  โดยการส่งออกสินค้าของไทยไปซาอุฯและจำนวนนักท่องเที่ยวจากซาอุฯ กลับมาเติบโตแบบก้าวกระโดดหลังฟื้นความสัมพันธ์  ขณะที่ภาครัฐและภาคเอกชนได้กระชับความร่วมมือทางธุรกิจ หนุนเศรษฐกิจไทยให้มีโอกาสเติบโตต่อเนื่อง นอกจากนี้ยังมีปัจจัยสนับสนุนจากแผนปฏิรูปประเทศของซาอุฯ  หรือ  “Saudi Vision 2030” ที่มีเป้าหมายเพิ่มมูลค่า GDP เป็น 2 เท่า ภายในปี 2573 (เทียบจากปี 2559)  ปัจจัยหลักมาจากการลงทุนที่ไม่เกี่ยวข้องกับน้ำมัน (Non-oil economy) มูลค่ากว่า 4 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ  ช่วยสร้างงานใหม่ถึง 6 ล้านตำแหน่ง  ถือเป็นตลาดที่มีกำลังซื้อสูง  เป็นโอกาสสำหรับการส่งออกสินค้า และการดึงดูดนักท่องเที่ยวซาอุฯมาไทย

“Krungthai COMPASS  คาดการณ์ว่า จากการฟื้นความสัมพันธ์ระหว่างประเทศและ Saudi Vision 2030 จะช่วยสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจเพิ่มขึ้นถึง 57,018 ล้านบาท คิดเป็น 0.21% ของ GDP  โดยมูลค่าการส่งออกของไทยไปยังซาอุฯในปี 2573 มีโอกาสสูงถึง 1.2 แสนล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นกว่า 2 เท่า จากปี 2562 ก่อนเกิดการแพร่ระบาดของโควิด-19   และคาดว่านักท่องเที่ยวซาอุฯจะมีโอกาสแตะ 2 แสนคนในอีก 7 ปีข้างหน้า สร้างรายได้ให้กับภาคการท่องเที่ยวไทยราว 32,900 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นเกือบ 10 เท่าจากช่วงก่อนเกิดโควิด ซึ่งปัจจัยดังกล่าวยังจะช่วยหนุนการเติบโตของ GDP ตามศักยภาพในระยะยาวอีกด้วย”

ทั้งนี้ ปัจจัยบวกจากการรื้อฟื้นความสัมพันธ์ทางการทูตและแรงหนุนจากนโยบาย Saudi Vision 2030  จะสร้างโอกาสแก่ผู้ประกอบการ 3 ด้านหลักๆ ได้แก่

1.โอกาสทางการค้า โดยการส่งออกไปซาอุฯ เติบโตแบบก้าวกระโดดหลังฟื้นความสัมพันธ์  และมีโอกาสเติบโตมากขึ้นในระยะข้างหน้า โดยเฉพาะสินค้าที่มีศักยภาพสูง โดยมองว่า สินค้าไทยที่เป็น Rising Star ในตลาดซาอุฯ ได้แก่ สินค้าในกลุ่มอาหาร เช่น อาหารทะเลกระป๋องและแปรรูป ผักและผลไม้กระป๋องและแปรรูป เครื่องดื่ม สิ่งปรุงรสอาหาร ไก่ และอาหารสัตว์เลี้ยง  ซึ่งกลุ่มนี้มีส่วนแบ่งตลาดในซาอุฯ ไม่มากนัก จึงมีโอกาสในการช่วงชิงส่วนแบ่งตลาดคืน อีกทั้งเป็นสินค้าที่สอดรับกับเมกะเทรนด์ด้านความมั่นคงทางอาหารของซาอุฯ สินค้าในกลุ่มวัสดุก่อสร้าง เช่น ไม้และผลิตภัณฑ์ไม้ เหล็ก และปูนซีเมนต์ สินค้ากลุ่มเครื่องสำอาง และสินค้ากลุ่มรถยนต์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ

2.โอกาสของธุรกิจภาคบริการ ประเมินว่าธุรกิจท่องเที่ยว Healthcare และอสังหาริมทรัพย์ จะได้รับอานิสงส์จากแนวโน้มการเติบโตของลูกค้าชาวซาอุฯ ซึ่งมีจุดเด่นในด้านการจับจ่ายใช้สอยสูงและมีระยะเวลาพำนักในไทยยาวกว่านักท่องเที่ยวกลุ่มอื่น

3.โอกาสการลงทุน คาดการณ์ว่าจากแผนการส่งเสริมการลงทุนของทางการและภาคเอกชน  จะดึงดูดเม็ดเงินลงทุนจากซาอุฯได้ประมาณ 3–6 แสนล้านบาท  นอกจากนี้ ผู้ประกอบการไทย ยังมีโอกาสไปลงทุนในซาอุฯ จากอานิสงส์นโยบายเปิดรับนักลงทุนต่างชาติภายใต้ “Saudi Vision 2030” โดยมีอุตสาหกรรมเป้าหมายคือ อุตสาหกรรมสุขภาพและการแพทย์ อาหารแปรรูป ก่อสร้าง อสังหาฯ ท่องเที่ยว และยานยนต์ ซึ่งเป็นอุตสาหกรรมที่ไทยมีความสามารถในการแข่งขัน

จากศักยภาพด้านธุรกิจและการลงทุนที่เพิ่มขึ้นดังกล่าว จะส่งผลให้ธุรกรรมทางการเงินที่เกี่ยวกับการค้าและการลงทุนระหว่างประเทศมีแนวโน้มสูงขึ้น โดยปัจจุบันธนาคารพาณิชย์ของไทยมีความพร้อมในการให้บริการทางการเงินที่สะดวก รวดเร็ว และปลอดภัย ซึ่งธุรกรรมการโอนเงินสกุลท้องถิ่นของซาอุดิอาระเบีย “ซาอุดิ ริยัล (Saudi Riyal)” ของธนาคารกรุงไทย  เป็นอีกตัวอย่างที่จะหนุนผู้ประกอบการในการขยายธุรกิจและการลงทุนระหว่าง2 ประเทศ เพื่อรองรับการเติบโตทางเศรษฐกิจที่จะเกิดขึ้นในอนาคต

The short URL of the present article is: https://wealthnbiz.com/a33s6

Read Previous

เนื้อแปรรูป บริโภคได้อย่างปลอดภัย ในปริมาณที่เหมาะสม

Read Next

TIA จับมือ ธปท.ขอนแก่น เตือนภัยในตลาดเงินตลาดทุน เดินหน้าแผน ‘ตั้งศูนย์ฟ้องคดีแบบกลุ่ม-Class Action’