‘ณรงค์ศักดิ์ พุทธพรมงคล’ ประธานหอการค้าไทย-จีน คนใหม่ เผยแผนดึงนักลงทุนจีนมาไทยเพิ่มขึ้น

เมื่อวันที่ 10 กุมภาพันธ์ ที่อาคารหอการค้าไทย-จีน ได้มีพิธีมอบตำแหน่งประธานกรรมการหอการค้าไทย-จีน (Thai Chinese Chamber of Commerce หรือ Thai CC) สมัยที่ 27 ให้กับ นายณรงค์ศักดิ์ พุทธพรมงคล ซึ่งเป็นประธานต่อจาก นายจิตติ ตั้งสิทธิ์ภักดี ประธานฯสมัยที่ 26 โดยภายหลังการรับมอบตำแหน่งประธานหอการค้าไทย – จีน คนล่าสุด นายณรงค์ศักดิ์ กล่าวว่า พร้อมที่จะสานต่อภารกิจเพื่อความร่วมมือของทั้งสองประเทศในทุกมิติ และพร้อมที่ยกระดับองค์กร Thai CC ก้าวไปสู่การเป็นองค์กรชั้นนำของกลุ่มองค์กรการค้าระหว่างประเทศ โดยหอการค้าไทย- จีน ถือเป็นองค์กรที่มีบทบาทสำคัญในการสร้างความสัมพันธ์ทั้งด้านเศรษฐกิจ สังคม และการเมืองระหว่างไทย และสาธารณรัฐประชาชนจีนมาอย่างยาวนานถึง 110 ปีและในฐานะที่เข้ามารับตำแหน่งประธานกรรมการหอการค้าไทย – จีนพร้อมที่จะยกระดับความสัมพันธ์ของ 2 ประเทศให้แน่นแฟ้นมากยิ่งขึ้นโดยเฉพาะความร่วมมือด้านการค้าและการลงทุนระหว่างกันเพื่อเชื่อมโยงยุทธศาสตร์การพัฒนาพื้นที่พิเศษภาคตะวันออก (อีอีซี) ของไทยให้เชื่อมต่อกับนโยบายเส้นทางสายไหมใหม่ (One Belt One Road) ของจีนเพื่อพัฒนาเศรษฐกิจของทั้งสองประเทศให้เติบโตต่อไป

“แนวนโยบายจะเร่งดำเนินการเดินทางออกไปดึงดูดการลงทุนในต่างประเทศ  ซึ่งหอการค้าไทย-จีนพร้อมที่จะร่วมมือกันดึงการลงทุนจากจีนเข้ามาไทย โดยตั้งเป้าหมายนำคณะนักธุรกิจไทยไปเยือนประเทศจีน ทั้ง 30 มณฑลให้ครบภายในวาระการดำรงตำแหน่ง 4 ปี หรือปี 2563-2566 หรือเฉลี่ยปีละ 8 ครั้ง ซึ่งเริ่มแห่งแรกที่เมืองปักกิ่ง ขณะเดียวกันก็จะพัฒนาให้ธุรกิจไทยร่วมมือกับจีนทั้งในประเทศไทยและในจีน ซึ่งเอสเอ็มอีของจีนนั้นถือเป็นธุรกิจที่ไม่เล็กเลย ซึ่งผมเองมีทีมงานที่จะร่วมมือกัน จึงคาดหวังว่าอย่างน้อยในปีนี้หอการค้าไทย-จีนจะดึงลงทุนเอสเอ็มอีของจีนมาลงทุนในไทย โดยจะจัดตั้งคณะนักธุรกิจรุ่นใหม่ 20 คน เป็นตัวแทนต้อนรับคณะนักลงทุนจีนที่เดินทางมาเยือนไทย ซึ่งต่อปีจะมีกว่า 100 ราย ทำหน้าที่ดูในเรื่องวัตถุประสงค์การมาเยือนไทย และความสนใจต่ออุตสาหกรรมเป้าหมายที่จะลงทุน โดยเตรียมล่วงหน้าอย่างน้อย 2 สัปดาห์เพื่อเตรียมผู้ประกอบการไทยในแต่ละอุตสาหกรรมต้อนรับให้ตรงเป้าหมาย  และทีมรุ่นใหม่จะช่วยให้เจรจากับนักลงทุนจีนได้อย่างตรงจุด ซึ่งนักลงทุนจีนทั้งรายใหญ่และเอสเอ็มอี สนใจที่จะเข้ามาลงทุนในไทยต่อเนื่องในเกือบทุกอุตสาหกรรม โดยเฉพาะในพื้นที่อีอีซี ซึ่งคาดว่าในปี 2563 การเข้ามาลงทุนในไทยจะมีเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง ดังนั้นจึงต้องการให้ภาครัฐมีชัดเจนในเรื่องนโยบายที่เกี่ยวข้องกับอีอีซีทั้ง กฎหมาย การถือครองที่ดิน และการถือหุ้นตามอัตราส่วนที่เหมาะสมที่รายละเอียดบางอย่างยังไม่ชัดเจน เช่น กรณีการลงทุนพัฒนาอสังหาริมทรัพย์เห็นว่า ควรจะเปิดทางให้นักลงทุนต่างชาติถือหุ้นมากกว่า 51 % ก็จะช่วยกระตุ้นการลงทุนได้อย่างมาก เป็นต้น”

นายณรงค์ศักดิ์ กล่าวด้วยว่า  สำหรับสถานการณ์ปัจจุบันที่ประเทศจีนและหลายประเทศกำลังประสบกับการแพร่ระบาดของไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ 2019 หอการค้าไทยเชื่อมั่นว่า จีนจะสามารถแก้ไขปัญหาดังกล่าวให้จบลงได้ภายในไม่กี่เดือน และสถานการณ์จะคลี่คลายไปในทิศทางที่ดี โดยภายใน 2 เดือนนี้ตนจะเดินทางไปกระชับความสัมพันธ์ด้านการค้าและการลงทุนกับชาวจีน แม้ว่าในช่วงที่ผ่านมาอาจจะกระทบกับภาคการผลิตของจีน จนต้องหยุดผลิตสินค้าหรือส่งวัตถุดิบบางประเภทให้ไทยก็ตาม ซึ่งการที่จะทำให้การค้าขายกลับมาเหมือนเดิมต้องใช้เวลา แม้ภาพรวมการส่งออกของไทยอาจจะชะลอบ้างเล็กน้อยจากปัญหาดังกล่าว แต่ไทยยังมีคู่ค้าประเทศอื่นในการส่งออกเพิ่มเติม

“ต้องยอมรับว่า ภาคการท่องเที่ยว โรงแรม ร้านอาหาร ได้รับผลกระทบหนักสุด คาดจะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทยในไตรมาส 1 – 2 กว่าจะฟื้นตัวคงใช้เวลา 3 – 4 เดือน หากควบคุมโรคดังกล่าวได้การท่องเที่ยวไทยจะฟื้นตัวเร็วมาก”

นายณรงค์ศักดิ์ กล่าวว่า ปัจจุบันประเทศจีนมีบทบาทสำคัญต่อเศรษฐกิจโลกซึ่งรวมถึงประเทศไทยเนื่องจากเป็นตลาดการค้าที่มีขนาดใหญ่ด้วยจำนวนประชาชนมากกว่า 1,300 ล้านคน ขณะเดียวกันจีนมีนโยบายส่งเสริมให้ผู้ประกอบการในประเทศเคลื่อนย้ายการลงทุนไปยังประเทศต่างๆ ทั่วโลก โดยเฉพาะประเทศในกลุ่มอาเซียน และไทยถือเป็นหนึ่งในประเทศเป้าหมายด้วยนโยบายของรัฐบาลที่ต้องการผลักดันให้ไทยเป็นศูนย์กลางการผลิตสินค้าที่สำคัญแห่งหนึ่งของโลก ดังนั้น Thai CC จะมีบทบาทสำคัญในการผลักดันให้เกิดการค้าและการลงทุนเพื่อรองรับการเติบโตของเศรษฐกิจจีนในอนาคต โดยเฉพาะการเชื่อมโยงความสัมพันธ์ของชาวจีนโพ้นทะเลที่กระจายอยู่ทั่วโลก ซึ่งเป็นส่วนสำคัญของระบบเศรษฐกิจในประเทศต่างๆ โดยในช่วงการบริหารงาน ได้เตรียมแผนที่จะผลักดันให้เกิดการประชุมสมัชชาชาวจีนโพ้นทะเลในประเทศไทย เพื่อให้เกิดการแลกเปลี่ยนข้อมูลการเชื่อมโยงการค้า และการลงทุน ที่จะขยายขอบเขตในการร่วมกันทางธุรกิจในขนาดใหญ่มากขึ้น

“จีนถือเป็นตลาดส่งออกที่ใหญ่เป็นอันดับ 2 ของประเทศไทยโดยในปี 2562 มียอดสั่งซื้อสินค้ามูลค่า 2.92 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 9.04 แสนล้านบาท คิดเป็นสัดส่วน 11.8% ของการส่งออกทั้งหมดของไทย ขณะที่การลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ(FDI) ปี 2562 พบว่านักลงทุนจากจีนเข้ามาลงทุนในไทยสูงสุดด้วยมูลค่า 2.6 แสนล้านบาท และที่สำคัญนักท่องเที่ยวจากจีนยังครองแชมป์การท่องเที่ยวในไทยสูงสุด”นายณรงค์ศักดิ์ กล่าว

The short URL of the present article is: https://wealthnbiz.com/IlBWq

Read Previous

ร้านอาหารฮ่องกงยอดขายลดฮวบครั้งแรกในรอบ 16 ปี

Read Next

วันเสาร์ 15 กุมภาพันธ์นี้ นักเรียนเก่าเตรียมอุดมศึกษาไม่ควรพลาด งาน “คืนสู่เหย้า เพราะ..เราคิดถึง”