ไม่น่าเชื่อ คนไทยรับลูกบุญธรรมเพิ่มขึ้น เกือบ 7 เท่าตัวในรอบ 6 ปี แนะ 7 ข้อสำหรับผู้อยากรับบุตร

น่าสนใจทีเดียว กรณีกรมสุขภาพจิต ออกมาเปิดเผยว่า คนไทยมีแนวโน้มขอรับลูกบุญธรรมเพิ่มขึ้นเกือบ 7 เท่าตัวในรอบ 6 ปี จาก  1,389 คน ในปี 2554  เพิ่มเป็น 9,339 คนในปี 2559 มากที่สุดในกทม. 1,224 คน รองลงมาคือชลบุรี 419 คน นครราชสีมา 280 คน เชียงใหม่ 264 คน  

นาวาอากาศตรีนายแพทย์บุญเรือง  ไตรเรืองวรวัฒน์ อธิบดีกรมสุขภาพจิต ให้สัมภาษณ์ว่า คาดว่าแนวโน้มอาจมีมากขึ้นจากวัตถุประสงค์แตกต่างกัน เช่น ไม่สามารถมีบุตรได้ หรือมีบุตรยาก ซึ่งผลสำรวจสุขภาพครั้งที่ 5 พ.ศ. 2557 พบประชาชนที่อยู่ในวัยเจริญพันธุ์อายุ 15-59 ปีที่มีคู่สมรส มีปัญหามีบุตรยากร้อยละ 9.8 จึงใช้การรับรองบุตรของญาติพี่น้องมาเป็นบุตรตัวเอง หรือต้องการบุตรตามเพศที่ต้องการ   โดยก่อนรับบุตรบุญธรรม ทั้งสามีและภรรยาจะต้องผ่านการตรวจสภาพจิตตามกระบวนการทดสอบทางจิตวิทยา เป็นไปตามกฎหมายการรับบุตรบุญธรรม พ.ศ. 2522  เพื่อเป็นการคุ้มครองเด็กและเลือกสรรครอบครัวที่เหมาะสมให้กับเด็ก

สำหรับคู่สมรสที่ต้องการรับบุตรบุญธรรมมาเลี้ยง   กรมสุขภาพจิตมีคำแนะนำ 7 ประการ เพื่อให้ทั้งเด็กและพ่อแม่บุญธรรมมีความผูกพันเป็นครอบครัวที่อบอุ่น ดังนี้ 1. ควรรับเด็กมาเลี้ยงตั้งแต่อายุไม่เกิน 6 เดือน เนื่องจากการรับเด็กเป็นบุตรบุญธรรมหลังคลอดทันที จะทำให้เด็กมีความผูกพันอย่างลึกซึ้งระหว่างเด็กกับพ่อแม่บุญธรรม  เนื่องจากว่าจะเป็นพ่อแม่คู่แรกและคู่เดียวที่เด็กพบและเกิดภาพที่ฝังใจ  หากช่วงอายุเด็กเกิน 4-6 เดือนไปแล้วจะเป็นช่วงที่เด็กรู้จักคนแปลกหน้าและกังวลต่อการพลัดพรากสูง  หากนำมาเลี้ยงในช่วง 3-4 ขวบ เด็กอาจรู้สึกโกรธที่ถูกพลัดพรากจากครอบครัว อาจมีปัญหาปรับตัวเข้ากับพ่อแม่บุญธรรม 2.ควรให้แพทย์ตรวจร่างกายเด็กอย่างละเอียดและไม่พบความผิดปกติ 3. ตรวจสอบโรคที่สำคัญในเด็กเช่น เชื้อกามโรค ( VDRL) การทดสอบภูมิต้านเชื้อวัณโรค ( Tuberculin test) เป็นต้น 4.ตรวจสอบภูมิหลังของเด็กพอควรแล้วว่าไม่มีอะไรที่ทำให้เด็กมีความเสี่ยงต่อความผิดปกติ 5. ถ้าเป็นเด็กโต ควรเป็นเด็กที่นับถือศาสนาเดียวกัน 6.ควรเป็นคู่สามีภรรยาที่แต่งงานถูกต้องตามกฎหมาย และ 7.ควรมีการบอกความจริงแก่เด็ก 

“ช่วงเวลาที่เหมาะสม ควรบอกตั้งแต่เด็กอายุยังน้อยประมาณ 3-4 ขวบ ซึ่งเด็กพอจะสามารถเข้าใจได้บ้าง และควรบอกให้เด็กรู้เป็นระยะๆ เพื่อลดความกังวลและความสับสน เมื่อเด็กโตขึ้นก็จะค่อยๆเข้าใจมากขึ้น อีกทั้งยังเป็นการดีที่เด็กรู้ความจริงจากปากของพ่อแม่บุญธรรม ดีกว่าฟังจากคนอื่น ซึ่งอาจพูดถึงในแง่ดีหรือไม่ดีก็ได้ อันอาจจะสร้างความกระทบกระเทือนใจเด็ก ยิ่งไปกว่านั้นการปิดบังความจริงยิ่งทำให้พ่อแม่บุญธรรมต้องกังวลใจเรื่อยๆ ที่กลัวว่าเด็กจะรู้ความจริง  แต่ก็ไม่ควรบอกในขณะที่กำลังมีอารมณ์โกรธหรือมีการพูดย้ำไปย้ำมา เนื่องจากเด็กอาจเกิดความรู้สึกว่าพ่อแม่ไม่ต้องการเขา ประการสำคัญที่สุดในขณะพูดนั้นพ่อแม่จะต้องแสดงออกถึงความรักทั้งท่าทาง น้ำเสียง และคำพูด” อธิบดีกรมสุขภาพจิตกล่าว               

นายแพทย์ศรุตพันธุ์ จักรพันธุ์ ณ อยุธยา ผู้อำนวยการสถาบันกัลยาณ์ราชนครินทร์ เขตทวีวัฒนา กทม. กล่าวว่า ขณะนี้สถาบันฯได้จัดทำแนวทางตรวจสภาพจิตตามกระบวนการทดสอบทางจิตวิทยาให้แก่ผู้ขอรับบุตรบุญธรรม  ให้โรงพยาบาลจิตเวชในสังกัดกรมสุขภาพจิตทั้ง 13 แห่ง เพื่อให้บริการประชาชนเป็นมาตรฐานเดียวกันทั่วประเทศ เป็นไปตามพระราชบัญญัติการรับบุตรบุญธรรม พ.ศ. 2522 และกฎกระทรวงพ.ศ. 2554  โดยจัดทีมสหวิชาชีพประกอบด้วย จิตแพทย์ นักจิตวิทยา พยาบาลจิตเวชให้บริการทดสอบตามมาตรฐาน ทั้งในด้านอารมณ์ การจัดการความเครียด การทดสอบสภาพทางจิตและบุคลิกภาพ การทอดสอบระบบประสาทหรืออื่นๆที่เหมาะสม รวมทั้งประวัติการเจ็บป่วย ประวัติครอบครัว

ทั้งนี้ สถาบันฯได้เปิดคลินิกให้บริการในช่วงบ่ายวันจันทร์ และวันอาทิตย์ตั้งแต่เวลา 8.30-16.30 น. เพื่ออำนวยความสะดวกแก่ประชาชน ใช้เวลาตรวจประมาณ 4 ชั่วโมง  และออกใบรับรองให้มีอายุ 6 เดือน  ผู้รับบริการ ต้องมีเอกสารส่งตัวมาจากกระทรวงพัฒนาสังคมฯ และมีคุณสมบัติเบื้องต้นคือจะต้องเป็นครอบครัวที่สมบูรณ์  ต้องมีอายุไม่ต่ำกว่า 25 ปี และต้องมีอายุแก่กว่าเด็กที่จะรับเป็นบุตรบุญธรรมอย่างน้อย 15 ปี ไม่มีประวัติมีพฤติกรรมก้าวร้าวรุนแรงต่อคนอื่น         

นายแพทย์ศรุตพันธุ์ กล่าวว่า ในปี 2559 -2560 มีผู้ขอรับบุตรบุญธรรมตรวจสภาพทางจิตที่สถาบันฯรวม 287 คน  กว่าร้อยละ  98 พบว่าปกติ มีความเหมาะสมในการเป็นผู้อุปการะเด็ก  และพบว่าส่วนมากมีความสัมพันธ์ทางเครือญาติกับเด็ก โดยเป็นปู่ย่าตายายร้อยละ 25  ลุงกับป้าร้อยละ 17  มีความต้องการอุปการะเลี้ยงดูเด็กร้อยละ 42   และเพื่อให้เป็นบิดามารดาอย่างถูกต้องตามกฎหมายร้อยละ 41  สามารถโทรขอรับคำปรึกษาได้ที่หมายเลข 02-4416100 และต่อที่คลินิกบุตรบุญธรรม

“ผลของการรับบุตรบุญธรรม ทำให้บุตรบุญธรรมมีฐานะและสิทธิ หน้าที่อย่างเดียวกับบุตรชอบด้วยกฎหมายของผู้รับบุตรบุญธรรม เช่นการใช้นามสกุล การอุปการะเลี้ยงดู การใช้อำนาจปกครองบุตรผู้เยาว์ แต่เด็กไม่ได้สูญเสียสิทธิหน้าที่ในครอบครัวเดิมที่ได้ถือกำเนิดมา เพียงแต่บิดามารดาเดิมหมดอำนาจปกครองหากบุตรนั้นเป็นผู้เยาว์” นายแพทย์ศรุตพันธุ์กล่าว

The short URL of the present article is: https://wealthnbiz.com/lKhzV

Read Previous

ชี้ช่อง ‘ธุรกิจไทย-จีน’ ไม่ฟังไม่ได้แล้ว สมาคมผู้สื่อข่าวไทย-จีน จัดฟังฟรี 28 กุมภาพันธ์นี้ จองด่วน

Read Next

ญี่ปุ่นขาดดุลการค้าครั้งแรกในรอบ 8 เดือน กว่า 2.7 แสนล้านบาท